อากาศร้อน ๆ แบบนี้ แอร์จึงเป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจที่ขาดไม่ได้ แต่เพื่อนคนนี้ก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่เหมือนกัน หลายคนอาจสงสัยว่า "ต้องล้างแอร์บ่อยแค่ไหน?" หรือ "จำเป็นต้องเรียกช่างมาล้างทุกครั้งเลยหรือเปล่า?" เพราะการล้างแอร์แต่ละทีก็มีค่าใช้จ่ายอยู่ไม่น้อย วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการล้างแอร์ที่หลายคนอยากรู้ พร้อมแนะนำวิธีดูแลแอร์ง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำเองได้ เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เย็นฉ่ำ แถมยังช่วยประหยัดค่าไฟในระยะยาวได้อีกด้วย
ทำไมต้องล้างแอร์?
การล้างแอร์เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับทุกบ้าน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้น การทำความสะอาดแอร์ไม่เพียงแต่ช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ใช้งานด้วย นี่คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำไมเราจึงควรล้างแอร์เป็นประจำ
1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แอร์ที่สะอาดจะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้สามารถสร้างความเย็นได้เร็วขึ้น ลดเวลาในการทำงาน และช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบายมากขึ้น
2. ประหยัดค่าไฟ เมื่อแอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟลดลง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ต้องเปิดแอร์นาน ๆ
3. ลดการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค การล้างแอร์ช่วยกำจัดฝุ่นละออง เชื้อรา และแบคทีเรียที่สะสมอยู่ภายในเครื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อากาศที่ผ่านแอร์สะอาดจะมีคุณภาพดีขึ้น ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในบ้าน
4. ยืดอายุการใช้งาน การดูแลรักษาแอร์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนต่าง ๆ ทำให้แอร์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ลดความจำเป็นในการซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง
5. ลดกลิ่นอับและปรับปรุงคุณภาพอากาศ แอร์ที่สะอาดจะช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้าน ทำให้อากาศสดชื่นและน่าอยู่มากขึ้น
6. ป้องกันปัญหาท่อน้ำทิ้งอุดตัน ฝุ่นและสิ่งสกปรกที่สะสมในแอร์สามารถทำให้ท่อน้ำทิ้งเกิดการอุดตัน ส่งผลให้น้ำหยดจากแอร์ ซึ่งการล้างแอร์จะช่วยลดปัญหานี้ได้
โดยทั่วไปแล้ว ควรมีการล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพแวดล้อม หากคุณใช้แอร์บ่อยหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก ควรล้างบ่อยขึ้น เพื่อให้แอร์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น
ล้างแอร์แบบไหนดี ?
การล้างแอร์เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน โดยทั่วไปแล้วมีหลายวิธีในการล้างแอร์ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. การล้างแอร์ด้วยตัวเอง
คุณสามารถล้างแอร์เองได้ โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ คือ การทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ, คอยล์เย็น, และส่วนประกอบอื่นๆ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย การล้างแอร์เองช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและทำได้ง่าย
ขั้นตอนการล้างแอร์ด้วยตัวเอง
- เตรียมพื้นที่และอุปกรณ์ เตรียมผ้าปู, แปรงขัด, สเปรย์โฟมทำความสะอาดคอยล์เย็น, กระบอกฉีดน้ำ, ไขควง และเครื่องดูดฝุ่น
- ตัดไฟโดยการปิดเบรกเกอร์เพื่อความปลอดภัย
- ถอดและล้างแผ่นกรองอากาศ โดยการล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำสบู่อ่อน ๆ ใช้แปรงสีฟันขัดเบา ๆ และผึ่งให้แห้งสนิท
- ทำความสะอาดคอยล์เย็น โดยการใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่น หรือใช้สเปรย์โฟมล้างแอร์ ฉีดให้ทั่วคอยล์เย็น ทิ้งไว้ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- ใช้แปรงหรือผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดใบพัดลมแอร์
- ทำความสะอาดท่อระบายน้ำ โดยการใช้เครื่องดูดฝุ่นแบบเปียกและแห้ง หรือล้างท่อระบายน้ำโดยตรง
- ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดภายนอกตัวเครื่อง
- เมื่อทำความสะอาดครบทุกส่วนแล้วก็ประกอบใส่แผ่นกรองอากาศและส่วนประกอบอื่น ๆ กลับเข้าที่เดิม
- ลองทดสอบระบบด้วยการเปิดแอร์ในโหมดพัดลมที่ 24 องศาเซลเซียส ประมาณ 45-60 นาที เพื่อทำความสะอาดคอยล์เย็น
2. การล้างแอร์โดยช่างมืออาชีพ
การเรียกช่างมาล้างแอร์เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกหรือไม่มั่นใจในการทำความสะอาดเอง โดยช่างจะมีเทคนิคการล้างแอร์และเครื่องมือที่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
- การล้างด้วยน้ำแรงดันสูง ช่างจะใช้เครื่องมือเฉพาะในการฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อล้างฝุ่นและสิ่งสกปรกออกจากคอยล์เย็นและคอนเดนเซอร์
- ในขั้นตอนสุดท้าย ช่างจะตรวจสอบระบบการทำงานของแอร์ ดูความเรียบร้อยต่าง ๆ และเติมน้ำยาแอร์หากจำเป็น
สำหรับการใช้บริการล้างแอร์แบบครบวงจรโดยช่างมืออาชีพนั้น ส่วนใหญ่จะรวมถึงการทำความสะอาดทุกส่วนของแอร์ ตั้งแต่ภายในถึงภายนอก โดยช่างผู้เชี่ยวชาญจะดูแลทุกขั้นตอน ซึ่งเหมาะสำหรับบ้านที่มีการใช้งานหนักหรือมีหลายเครื่อง
การเลือกวิธีล้างแอร์ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความเชี่ยวชาญของแต่ละคน หากคุณมั่นใจในการทำความสะอาดด้วยตัวเอง การล้างแอร์ด้วยวิธีง่าย ๆ ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่หากไม่มั่นใจหรือไม่มีเวลา การเรียกช่างมืออาชีพก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมเช่นกัน เพื่อให้แน่ใจว่าแอร์ของคุณจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น